Vitamin-A-Retinol

วิตามิน เอ คืออะไร

Vitamin-A-cover

วิตามินเอ (Vitamin A) หรือ เรตินอล (Retinol)
เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ค้นพบโดย ดร. อี.วี. แมคคอลลัม (E.V. McCollum) นักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐอเมริกา  ร่างกายของเราสามารถสะสมวิตามิน เอ ได้นานมาก ถึง 1 หรือ 2 ปี โดยเก็บไว้ในชั้นเซลล์ไขมันวิตามิน เอ มีหน้าที่ช่วยในการมองเห็น การเจริญเติบโตของกระดูก การแบ่งตัวของเซลล์ การกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค ซ่อมแซมผิวของตาและหลอดลมทำให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายยากขึ้น และยังกระตุ้นให้เซลล์เม็ดเลือดขาวโดยเฉพาะ lymphocyte ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และระบบสืบพันธุ์ นอกจากนี้ ยังป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ และระบบขับปัสสาวะ ทำให้ผิวและผมแข็งแรง

 

 

ชนิดของวิตามินเอ

  • Retinolเป็น วิตามิน เอ ที่พบในสัตว์เช่นตับ นม เป็นวิตามินที่ออกฤทธิ์ได้ทันที Retinol อาจจะเปลี่ยนเป็น Retinal retinoic acid ซึ่งเป็นรูปแบบวิตามินอีกชนิดที่ออกฤทธิ์ได้ทันที
  • Provitamin A carotenoidsเป็นวิตามินที่ต้องเปลี่ยนแปลงในร่างกายก่อนที่จะออกฤทธิ์ เป็นรูปแบบวิตามินเออีกชนิดหนึ่ง พบในพืชใบเขียวซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ ในธรรมชาติ Provitamin A carotenoids อยู่ได้หลายรูปแบบได้แก่ beta-carotene, alpha-carotene, lutein, zeaxanthin, lycopene, and cryptoxanthin , วิตามิน เอ ชนิด beta-carotene จะเปลี่ยนเป็น วิตามิน เอ retinol และออกฤทธิ์ได้ดี แต่ alpha-carotene, lutein, zeaxanthin จะออกฤทธิ์ได้ประมาณครึ่งหนึ่งของ beta-carotene แต่ lycopene, cryptoxanthin จะไม่เปลี่ยนเป็นวิตามินเอ

แหล่งที่พบวิตามิน เอ

Retinol เป็นวิตามิน เอ ที่พบในสัตว์เช่น ไข่ นม ตับ นมพร่องมันเนยจะมีวิตามิน เอ ต่ำเพราะวิตามิน เอ ละลายในไขมัน ดังนั้นนมพร่องมันเนยจึงต้องเติมวิตามิน เอ ซึ่งวิตามิน เอ จากสัตว์จะดูดซึมได้ดีวิตามิน เอ ที่มาจากพืชใบเขียวจะดูดซึมไม่ดีเท่าวิตามินที่มาจากสัตว์ พืชใบเขียวจะมีวิตามิน Provitamin A carotenoids มากผักผลไม้ที่ให้วิตามิน เอ ส่วนใหญ่จะมีสีเหลือง ส้ม แดง และเขียวเข้ม เพราะมีเบต้าแคโรทีนและแคโรนอยด์ที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอต่อไป เนื่องด้วยวิตามิน เอ ในผักผลไม้มีความไวต่อออกซิเจนมาก ดังนั้นวิธีการต้มที่ป้องกันการสูญเสียวิตามินได้ดีทีสุดคือ ควรปิดฝาภาชนะขณะต้มและใส่น้ำน้อยๆร่ายกายต้องการวิตามิน เอในแต่ละวันอยู่ที่วันละ 4,000-5,000 IU

 

แหล่งวิตามินในธรรมชาติ        จำนวน                       ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
ผักตำลึงน้ำหนัก 100 กรัม18,608 IU
ยอดชะอมน้ำหนัก 100 กรัม10,066 IU
คะน้าน้ำหนัก 100 กรัม9,300 IU
แครอทน้ำหนัก 100 กรัม9,000 IU
ยอดกระถินน้ำหนัก 100 กรัม7,883 IU
ผักโขมน้ำหนัก 100 กรัม7,200 IU
ฟักทองน้ำหนัก 100 กรัม6,300 IU
มะม่วงสุก1 ผล(โดยเฉลี่ย)4,000 IU
บรอกโคลี1 หัว(โดยเฉลี่ย)3,150 IU
แคนตาลูบน้ำหนัก 100 กรัม3,060 IU
แตงกวา1 กิโลกรัม1,750 IU
ผักกาดขาวน้ำหนัก 100 กรัม1,700 IU
มะละกอสุก1 ชิ้นยาว(โดยเฉลี่ย)1,500 IU
หน่อไม้ฝรั่งน้ำหนัก 100 กรัม810 IU
มะเขือเทศน้ำหนัก 100 กรัม800 IU
พริกหวาน1 เม็ด(โดยเฉลี่ย)500-700 IU
แตงโม1 ชิ้นใหญ่700-1,000 IU
กระเจี๊ยบเขียวน้ำหนัก 100 กรัม470 IU

 

อาการขาดวิตามิน เอ

  1. โรคผิวหนังเนื่องจากวิตามิน เอ มีส่วนสำคัญในการรักษาสภาพเยื่อบุผิวหนัง ขาดวิตามิน เอ ทำให้ผิวพรรณขาดความชุ่มชื้น หยาบกร้าน แห้งแตก โดยเฉพาะผิวหนังบริเวณข้อศอก ตาตุ่มและข้อต่อด่างๆ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคผิวหนัง เช่น สิวและโรคติดเชื้ออื่นๆ ได้
  2. ตาฟางหน้าที่ของวิตามิน เอ คือช่วยในการสร้างสารที่ใช้ในการมองเห็น หากขาดจะทำให้มองเห็นได้ยากในเวลากลางคืนหรือในที่แสงสว่างน้อย และทำให้เยื่อบุตาแห้ง กระจกตาเป็นแผล ในกรณีที่ร่างกายขาดวิตามินเออย่างรุนแรงอาจทำให้ตาบอดได้
  3. ความต้านทานโรคต่ำวิตามิน เอ เป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราทำงานตามปกติ การขาดวิตามิน เอ จึงทำให้เกิดโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ง่าย อีกทั้งยังทำให้เกิดการอักเสบในโพรงจมูก ช่องปาก คอ และที่ต่อมน้ำลาย

 

อันตรายจากการได้รับวิตามิน เอ เกิน

  1. แท้งลูกหรือพิการหญิงมีครรภ์ที่ได้รับวิตามิน เอ มากเกินไปมีความเสี่ยงต่อภาวะทารกในครรภ์คลอดออกมาพิการหรือแท้งได้ เนื่องจากวิตามินเอมีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็กในครรภ์ ซึ่งอาจทำให้เด็กมีความผิดปกติที่ทางเดินปัสสาวะ กระดูกผิดรูป หรือมีติ่งปูดออกมาที่บริเวณหู
  2. อ่อนเพลียหากร่างกายได้รับวิตามิน เอ เกินครั้งละ 15,000 ไมโครกรัม จะมีผลทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและอาเจียนได้
  3. เจ็บกระดูกและข้อต่อเบื่ออาหาร เซื่องซึม นอนไม่หลับ กระวนกระวาย ผมร่วง ปวดศีรษะ ท้องผูก ทั้งหมดนี้เป็นโทษในระยะยาวที่เกิดจากการรับประทานวิตามิน เอ มากเกินไป
  4. ในสัตว์กระเพาะเดี่ยวเมื่อได้รับเกินความต้องการ 4-10 เท่า จะทำให้โครงกระดูกผิดปกติ
  5. ในสัตว์เคี้ยวเอื้องเมื่อได้รับเกิน 30 เท่า จะเกิดอาการผิดปกติ

ประโยชน์และหน้าที่ของวิตามิน เอ

  1. เป็นส่วนประกอบสำคัญของ cornea และยังมีผลต่อการเจริญเติบโต การสร้างกระดูก และระบบสืบพันธ์ นอกจากนี้ยังป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ และระบบขับปัสสาวะ ทำให้ผิวและผมแข็งแรง และ เบต้า-แคโรธีน Beta carotene (หรือ pro vitamin A) ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นวิตามิน เอ ในร่างกาย Beta carotene เป็นสารต้านอนุมูลอิสระสามารถชะลอความแก่ได้
  2. ช่วยบำรุงสายตา และแก้โรคตามัวตอนกลางคืน (Night Blindness)
  3. ช่วยให้กระดูก ผม ฟัน และเหงือกแข็งแรง
  4. สร้างความต้านทานให้ระบบหายใจ
  5. ช่วยสร้างภูมิชีวิตให้ดีขึ้น และทำให้หายป่วยเร็วขึ้น
  6. ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ ลดการอักเสบของสิว และช่วยลบจุดด่างดำ
  7. ช่วยบรรเทาโรคเกี่ยวกับไทรอยด์

ประโยชน์ของวิตามิน เอ กับการเพาะกาย

  1. มีส่วนในการสังเคราะห์โปรตีนซึ่งเป็นกระบวนการหลักสำหรับการเติบโตของมวลกล้ามเนื้อ
  2. มีส่วนในกระบวนการสะสมไกลโคเจน ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสำรองหลักของร่างกายเรา

ประโยชน์ของวิตามิน เอ กับสิว

ในแง่ของสุขภาพผิวและความสมดุลของฮอร์โมนนั้น วิตามิน เอ มีความจำเป็นต่อร่างกาย โดยได้มีงานวิจัยยืนยันว่าผู้ที่เป็นสิวรุนแรงนั้นมีระดับวิตามิน เอ ในเลือดต่ำ มีรายงานว่า หญิงที่มีภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลและเป็นสิว เมื่อได้รับได้รับอาหารเสริมวิตามิน เอ สิวก็สามารถหายภายในไม่กี่สัปดาห์ รวมถึงรอยแผลสิวก็เริ่มลดลงหลังจากได้รับอาหารเสริมวิตามิน เอ 2 สัปดาห์