โครเมียม (Chromium)
ทำงานร่วมกับอินซูลินในกระบวนการเผาผลาญน้ำตาล ช่วยนำโปรตีนไปยังส่วนต่าง ๆ ที่ร่างกายต้องการ ใช้ต่อวันสำหรับวัยผู้ใหญ่ ซึ่งผู้ที่เสี่ยงต่อการขาดแร่ธาตุชนิดนี้จะได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และนักกีฬา โดยร่างกายจะเก็บโครเมียมไว้ในร่างกายได้น้อยลงเมื่อคุณมีอายุมากขึ้น และเกือบ 90% ของผู้ใหญ่โดยทั่วไปยังได้รับโครเมียมไม่เพียงพอต่อร่างกาย ซึ่งการขาดธาตุโครเมียมนั้นเป็นหนึ่งในปัจจัยที่อาจเกี่ยวข้องกับโรคผนังเส้นเลือดแข็งตัว และโรคเบาหวานได้
แหล่งที่พบโครเมียม
แหล่งอาหารที่สามารถพบแร่ธาตุโครเมียม ได้แก่ ไก่ หอยกาบ ตับลูกวัว จมูกข้าวสาลี น้ำมันข้าวโพด บริเวอร์ยีสต์ เป็นต้น โดยหลักประกันที่ดีที่สุดที่คุณจะมั่นใจได้ว่าร่างกายของคุณไม่ได้ขาดแร่ธาตุนี้ คือการรับประทานอาหารให้หลากหลาย ซึ่งจะทำให้คุณได้รับสารอาหารอื่น ๆ ที่จำเป็นอีกด้วย และการได้รับแร่ธาตุโครเมียมในปริมาณมากเกินไป ในปัจจุบันยังไม่พบว่ามีเป็นอันตรายใด ๆต่อร่างกาย
คำแนะนำในการรับประทานธาตุโครเมียม
- โครเมียมในรูปของอาหารเสริมจะพบอยู่ได้ในอาหารเสริมประเภทแร่ธาตุรวมคุณภาพสูง โดยอาจมีปริมาณโครเมียมตั้งแต่ 50-300 ไมโครกรัม
- โครเมียมในอาหารเสริม หากเลือกได้แนะนำให้เลือกที่อยู่ในรูปแบบของ “โครเมียมไดนิโคติเนตไกลซิเนต“
- ปัจจุบันยังไม่มีขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันอย่างเป็นทางการ แต่โดยทั่วไปแล้วในวัยผู้ใหญ่แนะนำให้รับประทานประมาณ 50-200 ไมโครกรัม
- การรับประทานโครเมียมในปริมาณมากอาจมีผลไปรบกวนการดูดซึมของสังกะสีได้ ดังนั้นคุณควรรับประทานสังกะสีให้มากขึ้นกว่าเดิม
- ร้อยละ 90% ของวัยผู้ใหญ่โดยทั่วไปได้รับโครเมียมจากอาหารไม่เพียงพอ
- หากร่างกายคุณมีแร่ธาตุโครเมียมในร่างกายต่ำ คุณอาจลองรับประทานสังกะสีเสริมอาหารด้วยเหตุผลบางประการ เพราะสังกะสีจะช่วยทดแทนการขาดโครเมียมได้
- แม้โครเมียมจะมีส่วนช่วยในการรักษาโรคเบาหวาน แต่ผู้ป่วยโรคเบาหวานก็ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการรับประทาน
- ไม่ควรรับประทานธาตุโครเมียมร่วมกับแคลเซียมคาร์บอเนตหรือยาลดกรดพร้อมกัน เพราะแคลเซียมอาจไปขัดขวางการดูดซึมของโครเมียมได้
– ประโยชน์ของธาตุโครเมียม
- ธาตุโครเมียม (Chromium) ช่วยในเรื่องการเจริญเติบโตของร่างกายช่วยนำโปรตีนไปยังส่วนที่ต้องใช้ในร่างกาย
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคความดันโลหิตสูงและช่วยลดความดันโลหิต
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน
- โครเมียมทำงานร่วมกับอินซูลินในกระบวนการเผาผลาญน้ำตาล
- มีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลทั้งหมดในร่างกาย และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดีให้แก่ร่างกาย
- โครเมียมพิโคลิเนต (Chromium Picolinate) มีส่วนช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันในร่างกายและไปช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ
- ช่วยป้องกันอาการขาดน้ำตาล
- ช่วยป้องกันการเกิดภาวะอ่อนล้าหมดเรี่ยวแรงอย่างเฉียบพลัน
- ช่วยป้องกันกระดูกเปราะบาง
ปริมาณที่โครเมียมที่ร่างกายต้องการ
ร่างกายมนุษย์ปกติคนทั่วไปควรได้รับโครเมียมปริมาณที่แนะนำโดยแพทย์ทั่วไป คือ 200 ไมโครกรัมต่อวัน (ขนาดที่ อย. อเมริกัน US FDA ได้แนะนำไว้คือ 50-200 ไมโครกรัมต่อวัน)
อาการขาดวิตามิน
การขาดโครเมียม ทำให้เกิดอาการเหมือนกับคนที่มีภาวะต้านอินซูลิน และเบาหวานชนิดที่ 2 ระดับโครเมียมในเลือดที่ต่ำ สัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ผู้ป่วยเบาหวานจะมีระดับโครเมียมในพลาสมาลดลง จากการศึกษาวิจัยในคนและสัตว์ทดลองพบว่า ระดับโครเมียมในร่างกายต่ำมีความสัมพันธ์กับความผิดปกติในเมตาบอลิซึมของอินซูลิน กลูโคส และไขมัน ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด
- จะทำให้ระดับกลูโคส อินซูลิน คอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอร์ไรด์ สูงขึ้น และระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (high density lipoproteins, HDL)ลดลง
- การขาดโครเมียมอย่างรุนแรงมีความผิดปกติของประสาทและสมอง อาการผิดปกตินี้กลับสู่ปกติได้โดยการให้โครเมียมเสริม การเสริมโครเมียมในเด็กขาดอาหาร ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ป่วยที่ได้รับอาหารทั้งหมดทางหลอดเลือดเป็นเวลานาน ช่วยให้ความทนต่อกลูโคสดีขึ้น
- การขาดโครเมียมเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคผนังเส้นเลือดแข็งตัว และโรคเบาหวาน
อันตรายจากการได้รับโครเมียมปริมาณมากเกินไป
การได้รับโครเมียมในปริมาณที่มาก อาจทำให้มีผลต่อตับ ไต เลือด แต่ยังไม่มีการรายงานอย่างแน่ชัดว่าอาการเหล่านี้เกิดจากโครเมียมหรือไม่ อาจต้องระมัดระวังการใช้ในกรณีต่อไปนี้
- ผู้ป่วยเบาหวาน โครเมียมอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงได้ โดยเฉพาะหากทานยาเบาหวานอยู่ อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป ควรตรวจติดตามระดับน้ำตาลบ่อยๆ และ ปรึกษาแพทย์ในการปรับยา
- ผู้ป่วยโรคไตและตับ ไม่ควรรับประทานอาหารเสริมโครเมียม
- ผู้ที่แพ้โครเมียม โครเมต หรือ หนัง อาจมีการระคายเคือง อาการแพ้ หรือผื่นแพ้เช่น ผิวหนังบวม หรือ ลอกได้
- ผู้ป่วยโรควิตกกังวล ซึมเศร้า หรือ จิตเภท ควรระมัดระวังการใช้ เนื่องจากโครเมียมอาจมีผลต่อสารเคมีในระบบประสาท อาจทำให้อารมณ์แปรปรวนได้
- ผู้ป่วยไทรอยด์ต่ำ (ไทรอยด์ไม่เป็นพิษ) ที่รับประทานยาไทรอยด์ Levothyroxine โครเมียมอาจลดการดูดซึมของยา Levothyroxine ได้ ดังนั้นควรรับประทานยาไทรอยด์ก่อนโครเมียม 30 นาที หรือ รับประทานยาไทรอยด์หลังโครเมียม 3-4 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงรับประทานยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เช่น Ibuprofen, Diclofenac, Piroxicam ร่วมกับโครเมียม เนื่องจากยาแก้ปวดเหล่านี้ทำใ้ห้ระดับโครเมียมในร่างกายสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่างๆง่ายขึ้นได้