วิตามินดี

วิตามินดี คืออะไร

วิตามินดี

วิตามินดี
วิตามินดี (Vitamin D) หรือ แคลซิเฟอรอล, ไวออสเตอรอล, เออร์กอสเตอรอล หรืออาจเรียกว่า “วิตามินแดด” เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ร่างกายของเราจะได้รับวิตามินชนิดนี้จากแสงแดดหรืออาหารที่รับประทานในแต่ละมื้อ เพราะรังสี UV จากแสงแดดจะทำปฏิกิริยากับน้ำมันที่ผิวหนัง ก่อให้เกิดการสร้างวิตามินดีซึ่งจะถูกดูดซึมกลับเข้าสู่ร่างกาย

แหล่งที่พบวิตามินดี
แหล่งอาหารที่พบวิตามินดีได้ทั่วไป ได้แก่ น้ำมันตับปลา ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาเฮอร์ริง นม และผลิตภัณฑ์จากนม เป็นต้น และศัตรูของวิตามินดี ได้แก่ ควันพิษ น้ำมันแร่

แคลซิเฟอรอล

ประโยชน์ของวิตามินดี

  1. ช่วยเสริมการใช้แคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งจำเป็นต่อความแข็งแรงของกระดูกและฟัน
  2. หากรับประทานร่วมกับวิตามินเอและวิตามินซีจะช่วยป้องกันโรคหวัดได้
  3. ช่วยในการรักษาโรคเยื่อบุตาอักเสบ
  4. ช่วยในการดูดซึมของวิตามินเอ

อาการขาดวิตามินดี
โรคจากการขาดวิตามินดี : โรคกระดูกอ่อนในเด็ก ฟันผุขั้นรุนแรง โรคกระดูกน่วม ภาวะกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ

คำแนะนำในการรับประทานวิตามินดี

  1. ขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับผู้ใหญ่คือ 200 – 400 IU หรือ 5 – 10 mcg.
  2. ทารกที่ดื่มนมแม่ควรได้รับวิตามินดี 200 IU ต่อวัน นอกเสียจากว่าหย่านมแล้ว และเปลี่ยนมาดื่มนมสูตรเสริมวิตามินดีอย่างน้อย 500 ซีซีต่อวันแล้ว และสำหรับเด็กที่ดื่มนมขวดสูตรเสริมวิตามินดี แต่ปริมาณไม่ถึง 500 ซีซีต่อวัน ก็ควรรับประทานวิตามินดีเสริมเช่นกัน
  3. วิตามินดีในรูปแบบของอาหารเสริมมักวางจำหน่ายในรูปแบบเม็ดหรือแคปซูล มีขนาดประมาณ 400 IU ซึ่งดัดแปลงมาจากน้ำมันตับปลา โดยขนาดที่รับประทานกันโดยทั่วไปคือ 400 – 1,000 IU
  4. ผู้ที่อยู่อาศัยในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะในบริเวณที่มลพิษหมอกควันหนาแน่น ควรได้รับวิตามินดีเพิ่มมากขึ้น
  5. ผู้ที่ทำงานกลางคืนและไม่ค่อยตากแดดควรรับประทานวิตามินดีเพิ่ม
  6. หากคุณรับประทานยากันชัก คุณควรต้องรับประทานวิตามินดีเพิ่ม
  7. คนผิวเข้มที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่มีแดดน้อย ควรรับประทานวิตามินดีเพิ่ม
  8. หากคุณอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปหรือมีน้ำหนักตัวเกิน คุณมีความเสี่ยงต่อการมีวิตามินดีในร่างกายต่ำ
  9. เด็กและวัยรุ่นที่ไม่ได้ดื่มนมที่มีวิตามินดีอย่างน้อย 500 ซีซีต่อวัน ควรรับประทานอาหารอื่นที่มีวิตามินดีสูง หรือรับประทานวิตามินรวมที่มีวิตามินดีรวมอยู่ด้วยอย่างน้อย 200 IU
  10. อย่าให้สุนัขหรือแมวรับประทานวิตามินดีเป็นอาหารเสริม ยกเว้นว่าสัตวแพทย์เป็นผู้แนะนำในบางกรณี
  11. วิตามินดีจะทำงานร่วมกับวิตามินเอ วิตามินซี โคลีน แคลเซียม ฟอสฟอรัสได้ดีที่สุด
  12. ผลเสียของการรับประทานวิตามินดีเกินขนาด หากรับประทานในปริมาณมากต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน หรือประมาณ 20,000 IU ต่อวัน อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ หรือหากรับประทานมากกว่า 1,800 IU ต่อวัน อาจทำให้เกิดภาวะวิตามินดีเกินในเด็ก สำหรับอาการอื่น ๆ ที่บ่งบอกว่าในร่างกายมีวิตามินดีมากเกินไป เช่น กระหายน้ำมากผิดปกติ เจ็บตา คันตามผิวหนัง อาเจียน ท้องร่วง กลั้นปัสสาวะไม่ได้ มีหินปูนแคลเซียมสะสมที่ผนังหลอดเลือด ตับ ไต ปอด กระเพาะอาหารอย่างผิดปกติ