วิตามิน ซี(Vitamin C) หรือ กรดแอสคอร์บิก(Ascorbic Acid)
ความหมาย หน้าที่ และชนิดของวิตามิน ซี
- เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ และมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง
- สัตว์ส่วนใหญ่สามารถสังเคราะห์วิตามินซีเองได้แต่มนุษย์ต้องอาศัยวิตามิน ซี จากอาหารเสริมแทนเท่านั้น
- วิตามิน ซี มีบทบาทสำคัญในการสร้างคอลลาเจนเพื่อช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย
- วิตามินชนิดนี้มีหน่วยวัดเป็นมิลลิกรัม (มก. หรือ )
- วิตามิน ซี ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้น
- วิตามิน ซี จะถูกใช้หมดไปอย่างรวดเร็วเมื่อคุณตกอยู่ในสภาวะเครียด
แหล่งที่พบวิตามิน ซี
แหล่งที่พบวิตามินซีได้ในธรรมชาติ ได้แก่ผลไม้รสเปรี้ยว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ผักใบเขียว แคนตาลูป มันฝรั่ง มะเขือเทศ ดอกกะหล่ำ พริกไทยเป็นต้น
อาการขาดวิตามิน ซี
การขาดวิตามินซีอาจทำให้เกิดโรคเลือดออกตามไรฟันได้
ปริมาณที่ร่างกายในแต่ละวัน
ขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันอยู่ที่ 60 mg. และสำหรับหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรที่ประมาณ 70-96 mg.
อันตรายจากการขาดวิตามิน ซี
- หากรับประทานมากเกินไปอาจทำให้เกิดนิ่ว บางครั้งการรับประทานในปริมาณที่สูงหรือมากกว่า 10,000 mg. ขึ้นไปอาจก่อให้เกิดผลเสีย เช่น อาการท้องร่วง ปัสสาวะบ่อย มีผื่นผิวหนังซึ่งหากมีอาการดังกล่าวคุณควรรับประทาน
- ปริมาณที่น้อยลง คนไข้โรคมะเร็งที่กำลังฉายรังสีหรือเคมีบำบัด ไม่ควรรับประทานวิตามิน ซี เพราะผลตรวจอาจแปรปรวนได้
- ศัตรูของวิตามิน ซี ได้แก่แสง ออกซิเจน น้ำ ความร้อน การสูบบุหรี่ การปรุงอาหาร
- ผู้ที่สูบบุหรี่และผู้สูงอายุ ควรได้รับวิตามิน ซีเพิ่มมากขึ้น
- ร่างกายจะสูญเสียวิตามิน ซี 25 – 100 mg. ต่อการสูบบุหรี่หนึ่งมวน
- ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL)
ประโยชน์ของวิตามิน ซี
- ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ และลดการเกิดริ้วรอยแห่งวัย
- การรับประทานเป็นประจำจะช่วยให้ผิวใส เนียน นุ่มลื่นอย่างเป็นธรรมชาติ
- ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- ช่วยในการรักษาและป้องกันโรคหวัด
- ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
- ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันประโยชน์วิตามิน ซี ช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้หลายชนิด
- ช่วยต่อต้านการสร้างสารไนโตรซามีน (สารก่อมะเร็ง)
- ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
- ประโยชน์ของวิตามิน ซี ช่วยลดความดันเลือด
- ช่วยลดการเกิดเส้นเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ
- ช่วยต่อชีวิตให้เซลล์โดยช่วยให้โปรตีนในเซลล์เกาะเกี่ยวกันได้ดีขึ้น
- ช่วยเพิ่มการดูดซึมของธาตุเหล็ก
- เป็นยาระบายตามธรรมชาติ
- เพิ่มประสิทธิภาพของยาที่ใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- ช่วยลดอาการที่เป็นผลมาจากสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้
- ช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียหลายชนิด
- ช่วยเร่งให้แผลหลังผ่าตัดหายเร็วยิ่งขึ้น
- ช่วยในการรักษาแผลสด แผลไหม้ให้หายเร็วยิ่งขึ้น
คำแนะนำในการรับประทานวิตามิน ซี
- วิตามิน ซี จะถูกขับออกจากร่างกายภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังจากรับประทานทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณอาหารในกระเพาะ และการรักษาระดับของวิตามิน ซี ในเลือดให้สูงอยู่ตลอดเวลาถือเป็นสิ่งที่สำคัญต่อสุขภาพ จึงขอแนะนำว่าให้รับประทานพร้อมอาหารมื้อเช้าและเย็น
- วิตามิน ซี ในปริมาณสูงอาจกระทบถึงผลการตรวจเลือดรวมทั้งผลการตรวจมะเร็งปากมดลูกได้ ดังนั้นหากคุณกำลังไปตรวจอย่าลืมแจ้งแพทย์ว่าคุณกำลังรับประทานวิตามินซีอยู่ เพราะการวินิจฉัยอาจเกิดการผิดพลาดได้
- ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรทราบว่า ค่าที่ได้จากการตรวจหาน้ำตาลในปัสสาวะอาจไม่ถูกต้อง หากคุณรับประทานวิตามิน ซี ปริมาณสูง
- ยารักษาโรคเบาหวาน อาจมีประสิทธิภาพด้อยลงหากรับประทานร่วมกับ วิตามิน ซี
- สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิด 2 หรือผู้ที่มีความดันโลหิตสูง สามารถลดความดันได้เพียงแค่รับประทานวิตามิน ซี วันละ 500 mg.
- สำหรับผู้ที่มีโรคทางพันธุกรรมที่ส่งผลให้มีเหล็กสะสมในร่างกายมาก เช่น ธาลัสซีเมียหรือฮีโมโครมาโตซิส ไม่แนะนำให้รับประทานวิตามิน ซีในปริมาณที่สูง หากรับประทานวิตามิน ซี เกินกว่า 750 mg. ต่อวัน ควรรับประทานแมกนีเซียมเสริมด้วย เพราะช่วยป้องกันการเกิดนิ่วในไตได้
- ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์จะทำลายวิตามิน ซี เพราะฉะนั้นผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองควรรับประทานวิตามินซีเพิ่มมากขึ้น
- สำหรับผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิด ควรรับประทานวิตามิน ซี เพิ่มขึ้น
- เพื่อให้วิตามิน ซี ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ควรให้มันได้ทำงานร่วมกันกับไบโอฟลาโวนอยด์ แคลเซียม แมกนีเซียม
- หากคุณรับประทานยาแอสไพริน ควรรับประทานวิตามิน ซี เพิ่มมากขึ้น เพราะแอสไพรินทำให้วิตามินซีถูกขับเร็วขึ้นถึงสามเท่า
- หากคุณรับประทานโสม ควรเว้นระยะเวลา 2 ชั่วโมงก่อนหรือหลังรับประทานวิตามิน ซี
- เพื่อบรรเทาอาการหวัด ควรรับประทานวิตามิน ซี 1,000 mg. วันละสองเวลาพบว่าจะช่วยลดระดับฮิสตามีนในเลือดลงถึงร้อยละ 40 (ฮิสตามีนเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการน้ำมูกน้ำตาไหล)